กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในหมู่บ้านเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ท่ามกลางป่าใหญ่ มีชายชราคนหนึ่งชื่อว่าลุงพงษ์ ลุงพงษ์เป็นที่รักของทุกคนในหมู่บ้านเนื่องจากความใจดีและความรู้เกี่ยวกับสมุนไพรและการรักษาโรค วันหนึ่งขณะที่ลุงพงษ์เดินเล่นอยู่ในป่า เขาได้พบกับไม้เท้าเก่าๆ อันหนึ่งที่ฝังอยู่ในดิน

เมื่อกลับถึงบ้าน ลุงพงษ์ลองใช้ไม้เท้ากับพืชสมุนไพรที่ปลูกไว้ในสวน ผลปรากฏว่าพืชทุกต้นเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วและแข็งแรงขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ ลุงพงษ์รู้ว่าไม้เท้านี้มีพลังวิเศษที่สามารถรักษาโรคและช่วยเหลือผู้คนได้

ราชสีห์
ราชสีห์

“ลุงพงษ์ครับ ช่วยหนูด้วย แม่หนูป่วยหนักมาก” เก่งกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความกังวล

วันต่อมา มีเด็กหนุ่มชื่อว่าเก่งวิ่งเข้ามาหาลุงพงษ์ ลุงพงษ์ยิ้มให้และกล่าวว่า 
ราชสีห์
ราชสีห์

ไม่ต้องห่วงนะหนู พาแม่ของหนูมาหาลุงพรุ่งนี้เช้า ลุงจะใช้ไม้เท้ากายสิทธิ์นี้รักษาให้  พวกเราล่าแพะมาได้ช่วยกันเราก็ต้องแบ่งให้ได้เท่าๆกันนะ


วันรุ่งขึ้น เก่งพาแม่ของเขามาหาลุงพงษ์ ลุงพงษ์ใช้ไม้เท้าแตะที่แม่ของเก่ง ทันใดนั้นแม่ของเก่งรู้สึกดีขึ้นอย่างรวดเร็วและสามารถลุกขึ้นยืนได้ “ขอบคุณมากค่ะลุงพงษ์” แม่ของเก่งกล่าวด้วยน้ำตาแห่งความดีใจ

ข่าวเกี่ยวกับไม้เท้ากายสิทธิ์ของลุงพงษ์แพร่กระจายไปทั่ว มีคนจากหมู่บ้านอื่นๆ เดินทางมาเพื่อขอความช่วยเหลือจากลุงพงษ์ ลุงพงษ์ไม่เคยปฏิเสธใคร เขาใช้ไม้เท้าในการรักษาผู้คนอย่างเต็มใจ

วันหนึ่ง มีชายหนุ่มชื่อว่า นันท์ เดินทางมาถึงหมู่บ้านของลุงพงษ์ นันท์เป็นนักเดินทางที่กำลังตามหาสมบัติวิเศษเพื่อนำไปใช้ช่วยเหลือครอบครัวที่ยากจน เมื่อเขาได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับไม้เท้ากายสิทธิ์ของลุงพงษ์ เขาตัดสินใจมาขอความช่วยเหลือ

ราชสีห์
ราชสีห์

ลุงพงษ์ครับ ผมขออนุญาตยืมไม้เท้ากายสิทธิ์ของลุงได้ไหมครับ ผมต้องการนำมันไปช่วยเหลือครอบครัวของผมที่ยากจน



ลุงพงษ์รู้สึกเห็นใจและเชื่อใจในความตั้งใจดีของนันท์

ราชสีห์
ราชสีห์

ได้สิหนุ่มน้อย ลุงเชื่อในความตั้งใจดีของเจ้า แต่เจ้าต้องสัญญาว่าจะใช้มันในทางที่ถูกต้องและคืนให้ลุงเมื่อเสร็จสิ้นภารกิจ


ราชสีห์
ราชสีห์

ผมสัญญาครับลุง ผมจะใช้มันเพื่อช่วยเหลือผู้คนและจะนำมันกลับคืนให้ลุงแน่นอน




นันท์นำไม้เท้ากลับไปยังหมู่บ้านของตนและใช้มันในการช่วยเหลือผู้คนที่เจ็บป่วยและยากจน ทุกคนในหมู่บ้านของนันท์รู้สึกขอบคุณและซาบซึ้งใจในความมีน้ำใจของลุงพงษ์

หลังจากนันท์ใช้ไม้เท้ากายสิทธิ์ในการช่วยเหลือผู้คนจนสำเร็จ เขาตัดสินใจนำไม้เท้ากลับคืนให้ลุงพงษ์ แม้ว่าเขาจะต้องการเก็บไม้เท้านั้นไว้เพื่อตัวเอง แต่เขารู้ว่าความซื่อสัตย์และการรักษาสัญญาเป็นสิ่งสำคัญ

นันท์กลับมาหาลุงพงษ์และกล่าวว่า “ลุงพงษ์ครับ ผมนำไม้เท้ากลับมาคืนตามสัญญาครับ”

ลุงพงษ์ยิ้มและตอบว่า “เจ้าทำได้ดีมาก นันท์ ลุงภูมิใจในตัวเจ้ามาก ความซื่อสัตย์ของเจ้าเป็นสิ่งที่มีค่า ลุงจึงอยากมอบไม้เท้ากายสิทธิ์นี้ให้เจ้าเก็บไว้ เพราะลุงเชื่อมั่นว่าเจ้าจะใช้มันในการช่วยเหลือผู้คนต่อไป”

นันท์เก็บไม้เท้ากายสิทธิ์ไว้และใช้มันในการช่วยเหลือผู้คนอย่างต่อเนื่อง เขาและมาลีร่วมมือกันในการดูแลและรักษาผู้คนในหมู่บ้าน ทำให้หมู่บ้านของพวกเขาเจริญรุ่งเรืองและมีความสุข

ข้อคิดคติเตือนใจจากนิทานเรื่องนี้คือ ความซื่อสัตย์และการรักษาสัญญาเป็นสิ่งที่มีค่าและสำคัญที่สุด การใช้พลังและทรัพยากรในทางที่ถูกต้องเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นไม่เพียงแค่ทำให้โลกนี้ดีขึ้น แต่ยังทำให้เราเป็นคนที่มีคุณค่าต่อสังคม


ม้า
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

“”


มีสุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่งเดินมาด้วยความหิวเนื่องจากไม่มีอาหารที่เป็นเนื้อให้มันกินเลย มันจึงเดินต่อไปเรื่อยๆ จนได้สังเกตว่าได้มีเจ้ากาดำตัวหนึ่งเกาะอยู่บนกิ่งไม้ ทันใดนั้นจิ้งจอกก็เห็นเนื้อที่ กาคาบไว้ ด้วยความฉลาดแกมเจ้าเล่ห์ของเจ้าจิ้งจอกมันจึงได้พูดขึ้นมาว่า สวัสดีแม่กาสุดสวย

ณ บ้านหลังเล็กๆแถวชนบทแห่งหนึ่งมีเด็กชายที่อาศัยอยู่กับยายสองคน เด็กชายคนนี้มีนิสัยที่ดื้อเขาซุกซนและเขายังมีของโปรดที่เขาชอบกินมากๆอยู่อย่างหนึ่งคือถั่วอบเกลือฝีมือคุณยายของเขานั่นเอง วันหนึ่งคุณยายจึงได้ทำถั่วอบให้หลานชายกินคุณยายได้ใส่ถั่วไว้ในเหยือกแต่ว่าคุณยายยังขาดเกลือที่จะนำมาใส่ถั่วอบ คุณยายจึงต้องออกไปซื้อเกลือที่ร้านค้าใกล้ๆ บ้าน หลังจากที่คุณยายเตรียมตะกร้าใส่ของเสร็จจึงบอกหลานชายว่า

หมากับไก่เป็นเพื่อนรักกันมานาน วันหนึ่ง สัตว์ทั้งสองเดินทางไปด้วยกัน เมื่อค่ำลงจึงแวะพักแรมที่ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ไก่บินขึ้นไปนอนบนกิ่งไม้ ส่วนหมานอนที่โคนต้อนไม้ เมื่อฟ้าสางไก่ก็โก่งคอขันรับอรุณเป็นกิจวัตรอย่างเช่นทุกวัน

ณ บ้านชาวนาแห่งหนึ่ง ได้มีเจ้าแมวและครอบครัวขอหนูอาศัยอยู่ในบ้านชาวนาหลังเดียวกัน แต่ต่างกันตรงที่เจ้าแมวถูกเลี้ยงอย่างสุขสบายแต่พวกหนูต้องอาศัยอยู่อย่างหวาดกลัวเขี้ยวอันคมและกรงเล็บอันแหลมของเจ้าแมวที่ชาวนาเลี้ยงไว้มาตลอดเวลา

ณ งานเทศกาลประจำหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ในงานเทศกาลนั้นได้มีการจัดการแสดงของตัวตลกด้วย ตัวตลกคนนี้ได้แสดงความสามารถมากมายเพื่อเรียกเสียงหัวเราะจากผู้ชมแต่มีการแสดงอยู่การแสดงหนึ่งที่ตัวตลกคนนี้ถนัดเป็นพิเศษ นั่น คือ การเลียนแบบเสียงของสัตว์ได้หลากหลายชนิด เขาได้โชว์การแสดง เลียนแบบเสียงของสัตว์ชนิดต่าง ๆ ไปเรื่อยๆ ทำให้ผู้ชมส่วนใหญ่ประทับใจเป็นอย่างมาก

ในทุ่งหญ้าสีเขียวขจีสวยงาม เด็กชายคนหนึ่งกำลังเลี้ยงแกะฝูงใหญ่ เขานั่งแบบนี้อยู่เป็นประจำ วันหนึ่ง เขาได้นั่งเฝ้ามองแกะที่อยู่กลางทุ่งทุกวัน ๆ เด็กเลี้ยงแกะไม่มีอะไรทำ เกิดความเบื่อหน่าย จึงคิดจะเล่นอะไรบางอย่างและคิดที่จะแกล้งชาวบ้าน พอคิดอย่างนั้น เขาจึงวิ่งหน้าตาตื่นเข้าไปในหมู่บ้านพร้อมตะโกนออกไปดังลั่นว่า

ใจกลางป่าเขาที่อุดมสมบูรณ์ มีเม่นน่าสงสารตัวหนึ่งเดินเร่ร่อนหาที่อยู่อาศัย สภาพของมันทั้งหิวโซ และอิดโรยจากการเดินทางเร่ร่อนมานาน จนมาพบพวกงูใจดีตัวหนึ่งกำลังขดอยู่ที่พื้น

มีลาตัวหนึ่งที่กำลังทำงานอยู่ งานของมันคือการขนสัมภาระไปให้เจ้าของของมัน ยังหมู่บ้านหนึ่งที่อยู่ถัดออกไป สัมภาระนั้นดูมากจนเต็มหลังไปหมด มันเดินมาสักระยะหนึ่ง จนถึงธารน้ำ และตั้งใจที่จะเดินข้ามไปยังอีกฝั่ง เพราะเป้าหมายของการเดินทางครั้งนี้ คือหมู่บ้านซึ่งอยู่อีกฝั่งของธารน้ำ